จัดการร้านกาแฟด้วยหลักการ “กฎ 100%”
ว่าด้วยเรื่องการบริหารการจัดการ ร้านกาแฟหรือร้านขนมเบเกอรี่ ต่างๆนา หลายๆที่อาจเกิดปัญหาที่ว่า ขายสินค้าหรือบริการได้เป็นจำนวนมากแต่กลับกันไม่สามารมองเห็นกำไรจากสินค้าหรือบริการที่ขายเลย ดังนั้น เราจะมาแนะนำในส่วนของการใช้หลักการ “ กฎ 100 % ”
ซึ่งบอกได้เลยว่า หลักการ กฎ100% เนี่ยเขานำไปใช้กันทั่วโลก และ World wide มากๆ ซึ่งหากร้านเราสามารถทำตามกฎนี้ได้แล้วเนี่ย จะสามารถควบคุมต้นทุนได้เป็นอย่างดี และจะสามารถมองเห็นกำไรขั้นต่ำสูงถึง 20% เลย และจะส่งผลทำให้กำไรของเราสามารถโตขึ้นเรื่อยๆได้
กฎ 100% มีอยู่ว่า ให้แบ่งส่วนต่างๆออกเป็น 5 ส่วน
- ต้นทุนของสินค้า (Cost of goods : COG)
- ค่าแรง (Cost of Labour : COL)
- ค่าเช่าพื้นที่
- ต้นทุนคงที่ (Fixed Cost)
- ค่าอื่นๆ หรือค่าสาธารณูปโภค
ต้นทุนของสินค้า (Cost of goods : COG)
การควบคุมต้นทุนของสินค้า หรือ COG เนี่ย เราควรที่จะควบคุมเอาไว้ไม่ให้เกิน 35% ของราคาขาย ไม่ว่าจะเป็น กาแฟที่ถูกสกัดออกมา แก้วพลาสติก หลอดพลาสติก ฝาแก้วพลาสติก น้ำแข็ง นมข้นหวาน นมข้นจืด น้ำเชื่อม หรือส่วนผสมต่างๆที่ทำออกมาจนเป็นน้ำ 1 แก้ว
ยกตัวอย่าง หากว่าร้านของทางเราเนี่ยขายกาแฟแก้วละ 50 บาท แน่นอนว่าเราจำเป็นต้องควบคุมต้นทุนของเราให้ไม่เกิน 15 บาท
ซึ่งแน่นอนว่าในราคา 50 บาทเนี่ย เราจำเป็นต้องเอามาแยกว่าของสิ่งไหนราคาเท่าไหร่กันบ้าง ในส่วนไหนที่สูงเกินไปเราสามารถปรับลดได้หรือไม่ หรือถ้าหากปรับลด สามารถไปปรับลดในส่วนตรงอื่นได้ไหมเพราะต้องควบคุมต้นทุนให้ไม่เกิน 15 บาท หรืออยู่ใน 35 % นั่นเอง
ค่าแรง (Cost of Labour : COL)
การควบคุมต้นทุนของค่าแรง หรือ COL เราควรที่จะควบคุมเอาไว้ไม่ให้เกิน 15% ของยอดขาย COL คือค่าแรงในการจ้างพนักงานขายหรือพนักงานดูแลภายในร้านเรานั่นเอง
ถ้าหากลองสมมติว่า ร้านกาแฟของเราเนี่ยสามารถขายได้ 100,000 บาทต่อเดือน เราจะสามารถจ้างพนักงานขายหรือพนักงานดูแลภายในร้าน 1 คน ในจำนวน 15,000 บาท หรือไม่ก็อาจจะเป็น 12,000 บาท และหา Part-time 1 คน เพื่อป้องกันเวลาที่ร้านของเรามีลูกค้าจำนวนมาก ที่พนักงาน 1 คนไม่สามารถที่จะรับไหว
และถ้าหากว่าร้านกาแฟของเราสามารถขายได้ 200,000 บาทต่อเดือน เราจะสามารถจ้างพนักงานได้ 2 คน ในจำนวน 15,000 บาท ต่อคน
ซึ่งเราจะสามารถใช้หลักการนี้เพื่อเพิ่มพนักงานจากยอดขายที่เราได้นั่นเอ
ค่าเช่าพื้นที่
ในกฎนี้ซึ่งจำเป็นต้องควบคุมค่าเช่าพื้นที่ให้ไม่เกิน 15% ของยอดขาย ฉะนั้นถ้าหากร้านของเรามียอดขาย 100,000 บาทต่อเดือน ค่าเช่าพื้นที่ของก็ไม่ควรที่จะเกิน 15,000 บาทต่อเดือน หรือกลับกัน หากค่าเช่าพื้นที่ของร้านเราอยู่ที่ 15,000 บาทต่อเดือน เราควรที่จะมียอดขายอยู่ที่ 100,000 บาทต่อเดือน เป็นอย่างน้อย
ซึ่งถ้าหากว่าเราสามารถมียอดขายมากขึ้นไม่ว่าจะเป็น 150,000-200,000 บาทต่อเดือน ก็จะทำให้ส่วนเปอร์เซ็นต์ตรงนี้ลดน้อยลงไปเรื่อยๆ ทำให้เราเห็นกำไรได้มากขึ้นนั่นเอง
ต้นทุนคงที่ (Fixed Cost)
ต้นทุนคงที่ไม่ว่าจะเป็นค่าน้ำหรือว่าจะเป็นค่าไฟเองก็ตาม ส่วนใหญ่แล้วค่าน้ำและค่าไฟจะมีความคงที่ และจะมีความแปรผันค่อนข้างน้อย ซึ่งในของค่าน้ำค่าไฟ หรือต้นทุนคงที่ จะกำหนดอยู่ที่ 5% ถ้าหากร้านของเรามียอดขายอยู่ที่ 100,000 บาทต่อเดือน ค่าน้ำค่าไฟ หรือต้นทุนคงที่ของเรา ไม่ควรที่จะเกิน 5,000 บาทต่อเดือนนั่นเอง
ค่าอื่นๆ หรือค่าสาธารณูปโภค
การควบคุมค่าสาธารณูปโภค เราควรที่จะควบคุมเอาไว้ไม่ให้เกิน 10% ของยอดขายต่อเดือนของเรา แล้วค่าสาธารณูปโภคมีอะไรบ้าง ก็ไม่ว่าจะเป็น ค่า WIFI ค่าอินเตอร์เน็ตรายเดือน ค่าสก๊อตไบร์ท ค่าถุงดำ ค่าผงซักฟอก หรืออื่นๆ ที่มันเป็นสิ่งที่ใช้แล้วหมดไป ในส่วนนี้ไม่ควรที่จะเกิน10%ของยอดขายของร้านเรานั่นเอง
ฉะนั้นเราจะเห็นแล้วใช่ไหมว่า ถ้าหากว่าเราสามารถควบคุมหลักการทั้ง 5 ข้อเอาไว้ได้ จะทำให้เราเหลือกำไร 20%
ถ้าหากว่าร้านของเราสามารถทำยอดขายได้ 100,000 บาท แล้วเราสามารถคุมหลักการข้อที่ 1 ถึงข้อที่ 5 ไม่ให้เกินเป้าที่เราวางเอาไว้แล้วเนี่ย เราจะเหลือกำไรอยู่ที่ 20,000 บาท
ซึ่งถ้าหากว่าเราสามารถสร้างยอดขายได้มากยิ่งขึ้น หรือว่าจะเป็นการหาสินค้าอย่างอื่นนำมาขายได้มากขึ้น เช่น ถ้าหากว่าเราสามารถขายกาแฟได้วันละ 100 แก้วต่อวัน แต่เราสามารถพ่วงเบเกอรี่และบราวนี่ หรือขนมต่างๆที่เราสามารถนำมาวางขายบนหน้าร้านเราได้สัก 30 ชิ้นต่อวัน และพ่วงสแน็กหรือขนมคุกกี้อะไรประมาณนี้ได้สัก 20 ชิ้นต่อวัน
แน่นอนว่า ค่าแรง หรือ Cost of Labour ของเราเท่าเดิม ค่าเช่าพื้นที่ของเราเท่าเดิม และต้นทุนคงที่ หรือ Fixed Cost ค่าน้ำ ค่าไฟ ของเราเท่าเดิม แต่ว่ายอดขายของร้านเรามากยิ่งขึ้น
ฉะนั้นกำไรของร้านเราจะโตขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งหลักการนี้เป็นหลักการที่ทั่วโลกเขาใช้กัน แน่นอนเลยว่าถ้าหากว่าใครที่สามารถทำได้เนี่ยจะสามารถล็อคกำไรอย่างต่ำของร้านเราได้ 20 % และสามารถจะขยาย 20%ตรงนี้ให้สามารถเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และโตขึ้นเรื่อยๆ และสามารถที่จะขยายสาขาของร้านเราไปได้เรื่อยๆนั่นเอง