ไอเดียและเทคนิคเลือกทำเลการเปิดร้านกาแฟหรือทำธุรกิจคาเฟ่
เราก็ไม่อยากให้คนที่เก็บเงินมาทั้งชีวิต แล้วอยากจะเป็นเจ้าของร้านแล้วลงทุนปุบ เฮ้ยแล้วแบบเลือกทำเลผิดว่ะ แล้วกลับมานั่งบอกตัวเองว่ารู้งี้ ฉันไม่ทำตรงนี้ก็ดี ฉันไปเช่าตรงนี้ดีกว่า เลือกทำเลนี้ดีกว่า ไอ้คำว่ารู้งี้ รู้ตั้งแต่ตอนนี้เลยดีกว่า
เตรียมความพร้อมตั้งแต่เริ่มต้น แล้วก็จะได้ถามตัวเองเลยว่าทำเลนี้เหมาะกับตัวฉันหรือเปล่าเหมาะกับธุรกิจที่ฉันจะทำหรือเปล่า หรือถ้าเราต้องการธุรกิจแบบนี้ทำเลไหนเหมาะกับตัวเรา
หนึ่งในความฝันของคนรุ่นใหม่ที่เป็นคอกาแฟ หรือเป็นชอบสเปเชียลคอฟฟี่ การเปิดร้านกาแฟแต่แน่นอนว่าธุรกิจกาแฟเป็นธุรกิจที่การลงทุนต่ำ
ธุรกิจ ที่ใครๆก็สามารถกระโจนเข้ามาได้ ต่อให้เราจะชอบทานกาแฟหรือไม่ชอบทานกาแฟก็สามารถทำได้ เพราะแค่เรามีเงินพอที่จะไปซื้อเครื่องทำกาแฟเครื่องละหลายหลาย 100,000 เครื่องบดกาแฟเป็น 100,000 100,000 มีเงินพอที่จะ จ้างบาริสต้า เราก็มีโอกาสที่จะเป็นเจ้าของร้านกาแฟ หรือเจ้าของคาเฟ่ได้ แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะเปิดร้านกาแฟแล้วประสบความสำเร็จ
เราจะเห็นว่าบางคนลงทุนหลาย 1,000,000 บาท แป๊บเดียวก็ต้องปิดตัวลง แต่ก็มีบางคนลงทุนหลักแสนบาท แต่สร้างยอดขายหลักล้านบาท ก็มีเหมือนกัน
วันนี้ก็เลยอยากจะมาแชร์เทคนิคง่ายๆที่บางคนอาจยังไม่รู้สำหรับการเลือกทำเลที่ตั้ง เพื่อเปิดคาเฟ่หรือร้านกาแฟ การเช่าพื้นที่เพื่อเปิดร้านคาเฟ่หรือร้านกาแฟที่ต้องคำนึงอะไรบ้าง
วันนี้ก็อยากจะให้แชร์เออถ้าเราอยากจะเช่าพื้นที่เพื่อเปิดร้านคาเฟ่หรือร้านกาแฟคาเฟ่หรือร้านกาแฟ ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบไหนก็ตาม ปัจจัยที่ต้องคำนึงอะไรบ้าง เพราะว่าธุรกิจกาแฟเนี่ย รายได้ต่อหัวค่อนข้างน้อย คือกาแฟแก้วนึงอาจจะอยู่ที่ ประมาณแก้วละ 50 ถึง 60 บาทหรือจะเป็นสเปเชียลตี้คอฟฟี่
อยู่ที่ 80 ถึง 90 บาทถ้าอยากจะขายเกิน 100 บาท ทำเล แบบ อาจจะต้องอยู่ในเมืองจริงๆ ฉะนั้นคนส่วนใหญ่แล้ว ก็คงจะไม่ได้ตั้งใจอยากเปิดร้านกาแฟ แก้วละร้อยกว่าบาทอยู่แล้ว แน่นอนถ้าเราอยากขายกาแฟแก้วละ 50 ถึง 80 บาท เราควรจะพิจารณาปัจจัยอะไรบ้าง
ข้อ 1 พฤติกรรมของลูกค้า
พฤติกรรมของลูกค้าในบริเวณนั้นรอบๆ รัศมี สองกิโลสามกิโล รอบๆนี้ ของระบบร้านเราอ่ะพฤติกรรมของลูกค้าเป็นยังไง ลูกค้าเป็นใครบ้าง เช่นถ้าเราไปอยู่ในย่านออฟฟิศสำนักงาน กลุ่มลูกค้าของเราก็จะเป็นคนทำงาน พฤติกรรมของคนทำงานคือมาทำงานตอนเช้า กลางวันก็จะลงมาทานข้าวลงมาซื้อกาแฟ ตอนเย็น 4 โมง 5 โมงเลิกงานแล้วก็กลับบ้าน ถ้าทำเลของเราอยู่ในแหล่งชุมชนที่รถค่อนข้างติดคนกลุ่มนั้นเค้าก็จะรีบกลับบ้าน
ร้านกาแฟที่จะอยู่ในทำเลอย่างแรงราคาก็จะต้องเข้าถึงได้ง่าย อาจจะต้องปิดร้านเช้านิดนึง คนกลุ่มนี้เค้าก็จะมาทำงานช่วง 7 โมงหรือตั้งแต่เช้ากว่านี้นิดนึง แปด 9 โมงก็น่าจะเข้าออฟฟิศแล้ว ช่วงเวลาที่จะขายดีที่สุดก็คือช่วงเช้าหรือช่วงกลางวัน ลงมาทานข้าวหรือมาซื้อกาแฟ ช่วงเย็นก็อาจจะ ไม่มีคนตั้งใจมาซื้อกาแฟแล้ว เราก็อาจจะต้องมีเมนูบางอย่างอย่างเช่นโกโก้ชาเขียว นมพวกนี้ ที่เขาสามารถมาซื้อในช่วงเย็นได้ ฉะนั้นเราจะเห็นได้ว่าพฤติกรรมในแต่ละทำเลไม่เหมือนกัน
ถ้าเป็นย่านที่พักอาศัย ร้านกาแฟก็อาจจะไม่ได้พคีย์ โอ้โหตั้งแต่ช่วงเช้าช่วงเย็น เที่ยงไหมพีคเป็นช่วงๆ แต่มันจะเฉลี่ยทั้งวัน แต่จำนวนวอลุ่มก็อาจจะไม่ได้เยอะเท่าโซนออฟฟิศ สำนักงานแต่แน่นอนว่า ค่าเช่าก็อาจจะถูกกว่า
ข้อ 2 ที่จะต้องดู Traffic ของลูกค้าทั้ง 7 วัน
ทำไมเราต้องบอกทั้ง 7 วัน เพราะเวลาเราเช่าพื้นที่อะไรก็ตาม เราไม่ได้ขายเฉพาะวันธรรมดา ถ้าเราเปิดร้านที่ขายได้เฉพาะวันธรรมดา อย่างเช่นเราไปอยู่ในอาคารออฟฟิศสำนักงาน อยู่ในอาคารเลยนะ แน่นอนเราจะขายได้แค่เดือนละ 22 วัน ค่าช่างมันอาจจะไม่ได้แพงมากเมื่อเทียบกับด้านนอก แต่ช่วงเวลาหรือโอกาสในการขายเราจะเหลือแค่ 22 วัน
ลองเอาค่าเช่ามาตั้งแล้วหารด้วย 22 หารค่าเช่าต่อวันอาจจะสูงกว่าด้านนอกด้วยซ้ำ ฉะนั้นเวลาที่เราจะไปเลือกทำเลการเปิดร้าน กาแฟหรือร้านอาหารที่ไหน เราต้องดูว่าต่อเดือนเราจะมีโอกาสขายได้กี่วัน ยกตัวอย่างง่ายง่าย
สมมุติว่าถ้าทำเลที่อยู่นอกห้าง ตั้งราคา ค่าเช่า อยู่ที่ 100,000 ต่อเดือน แต่เราขายได้ 30 วัน มันไม่ได้จำกัดว่าจะต้องขายให้ออฟฟิศนี้ โอกาสทางการขายจะมากขึ้นเพราะเราสามารถขายให้คุณทุกกลุ่มหรือ คนที่ผ่านไปผ่านมาก็สามารถซื้อได้ เทียบกับการที่เราไปอยู่ในอาคารสำนักงาน ที่ค่าเช่าเหลืออยู่ 90,000 บาทต่อเดือนเท่านั้น
แล้วผมลูกค้าก็เป็นออฟฟิศหรือสำนักงานด้วย บางคน เห็นแบบนี้เราต้องเลือกเช่าขายให้กลุ่มออฟฟิศสำนักงานแน่นอน ค่าเช่าถูกกว่า แต่อย่าลืมนะว่าเสาร์-อาทิตย์ออฟฟิศพนักงานหยุดเราจะขายให้ใคร ถ้าออฟฟิศนั้นไม่ได้ดึงคนเข้ามาทำอะไรนั้นก็อาจจะเหมือนทำเลที่ตาย ไม่มีกลุ่มลูกค้าใหม่เข้ามา เดือนนึงเราจะขายได้ 22 วัน ถ้าเราลองคำนวณดูแล้วเอายอดค่าเช่า 90,000 บาท หารกับ 22 วัน
เพราะเผลอค่าเช่าด้านนอกอาจจะถูกกว่าด้วยซ้ำ เพราะโอกาสทางการขายมากกว่า เวลาในการขายเยอะกว่า เราต้องดูพฤติกรรมในการซื้อของลูกค้าและคำนึงถึงระยะเวลาในการขาย ถ้าเราไม่ได้ทำยั๊วะเราอาจจะมองว่าการขายในอาคารคุ้มกว่า เพราะค่าเช่ามันถูกกว่า เรื่องต่อมาที่เราต้องดู
ข้อ3 รูปแบบการเดินของคน
เค้าเดินแบบไหนแต่นี่เป็นสิ่งที่หลายคนไม่ได้สนใจ สมมุติว่าถ้าคุณอยู่ในสำนักงานที่มีร้านกาแฟอยู่สองฝั่งซ้ายมือของตึกและขวามือของตึก ปรากฏว่าเราจะคิดว่าซ้ายมือของตึก จากค่าเช่า ราคาถูกกว่า จาก 50,000 เหลืออยู่ 40,000 เราก็คิดว่าตรงนั้นมันดีกว่า แต่ปรากฏว่าแพตเทิร์นการเดิน คือลงลิปต์ 80% เดินไปทางขวา แล้วดันมีร้านกาแฟตั้งอยู่ทางขวา นั่นแปลว่าโอกาสการมองเห็นของร้านคุณจะน้อยกว่า คู่แข่งเป็นเท่าตัวทันที
ซึ่งหลายคนที่ตัดสินใจเปิดร้านเราดูแค่ว่า เช่าเท่าไหร่ ถามว่าค่าเช่า มีความจำเป็นต่อการตัดสินใจไหม มีความจำเป็น เพราะแต่ละคนมีเงินในกระเป๋าไม่เท่ากัน แต่สำคัญไม่น้อยกว่าค่าเช่าคือพฤติกรรมของคน และรูปแบบการใช้ชีวิตของคน ที่อยู่ในบริเวณนั้น ว่าเค้าเป็นยังไง หรือถ้าคุณไม่ได้อยู่ในอาคารคุณอยู่นอกอาคาร เวลาคนเดินออกมาลองสังเกตุดูพฤติกรรมการเล่นของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ฉันพาคุณเดินออกไปนอกอาคารขวามือของคุณ เป็นทางเดินไปรถไฟฟ้า
ซ้ายมือของคุณเป็นถนนปกติแน่นอนว่า เส้นทางการเดินของลูกค้าหลัก คือเดินออกจากอาคารแล้วเลี้ยวไปทางขวา เพื่อขึ้นรถไฟฟ้าและคนที่เดินลงจากรถไฟฟ้าก็จะเดินเลี้ยวมาทางขวาเพื่อเข้าอาคาร ฉะนั้นต่อให้พื้นที่ด้านขวามือจะมีค่าเช่า ต่อตารางเมตรที่แพงกว่าทางด้านซ้ายมือ
แต่โอกาสทางการขายจะมากกว่า และจำนวนลูกค้าที่เดินผ่านต่อวันหรือต่อชั่วโมงก็จะมากกว่าด้วย ทีนี้แล้วเราจะรู้ได้ยังไงถ้าเราไม่ได้เป็นคนในทำเลนั้น วิธีที่ง่ายที่สุดก็คือก็ไปใช้ชีวิตอยู่ในทำเลนั้นซักหนึ่งอาทิตย์ แล้วก็นั่งนับดูนั่งนับแบบไหน โดยใช้เครื่องนับแบบกดมือ สามารถซื้อได้ตามห้าง ซื้อตาม แอปส้มหรือแอปtt แพลตฟอร์มต่างๆ
นับจำนวนคนที่เดิน เดินผ่านทางด้านขวาและทางด้านซ้ายกี่คน ต่อวัน ต่อชั่วโมงนับ แล้ว เก็บข้อมูลทั้ง7วันและหาค่าเฉลี่ย เราจะได้ค่าเฉลี่ย เราจะได้ Traffic ของลูกค้า ต่อ 1 ชั่วโมง แล้วเราจะรู้ว่ามันต่างกันกี่เท่า เราก็จะรู้ว่าค่าเช่าที่มันต่างกันมันจะคุ้มกว่าที่เราจะจากอีกฝั่งหรือเปล่า ถ้าใช้วิธีนี้เราก็จะไม่ต้องจ่ายเงินค่าจ้างที่ปรึกษาเพราะคนที่รู้ดีที่สุดก็คือตัวเราเองที่ไปนั่งนับ วิธีนี้คือหนึ่งในหลัก Feasibility Study วิเคราะห์ความเป็นไปได้ของโครงการ
ซึ่งการวิเคราะห์ความเป็นไปได้ของโครงการมีอยู่ 3 หลัก
- Location Analysis วิเคราะห์ทำเลที่ตั้ง
- Market Analysis วิเคราะห์ตลาด
- Financial Analysis วิเคราะห์ข้อมูลทางการเงิน
การขายดีหรือขายไม่ดีมีหลายปัจจัยไม่ว่าจะเป็น ชื่อเสียงของแบรนด์ ระยะเวลาการเปิดร้าน การแข่งขันของลูกค้า เทคนิคการทำการตลาด สินค้าหรือบริการ
ฉะนั้นมันไม่ได้การันตีว่าเห็นร้านตรงข้ามขายดีแล้วเราจะขายดีเหมือนนั้นตรงข้าม นี่แหละ คือประโยชน์ของการวิเคราะห์ข้อมูล ก่อนทำธุรกิจ เชื่อว่าจะเป็นประโยชน์สำหรับคนที่อยากจะปิดร้านแน่นอน
ข้อ 4 คู่แข่งในตลาด
เพราะเชื่อว่าทำอะไรดังกล่าวอาจจะมีคู่แข่งอยู่ไม่ต่ำกว่า 10 ถึง 20 ร้าน เราก็คงจะไม่ต้องไปวิเคราะห์คู่แข่งทั้ง 20 ร้าน เพราะจะมีร้านกาแฟที่เป็นคู่แข่งอยู่สองแบบคือคู่แข่งทางตรงและทางอ้อม เนื่องจากราคาที่เราจะขายเพราะกลุ่มลูกค้าที่ซื้อกาแฟแก้วละ 100 กว่าบาทก็อาจจะไม่ได้ใช่กลุ่มอยากซื้อกาแฟแก้วละ 40-50บาท
วิเคราะห์ประเภทกลุ่มลูกค้า ร้านไหนบ้างที่ขายให้กลุ่มลูกค้าเดียวกันกับร้านเรา ใช้โซเชียลให้เกิดประโยชน์ดูรีวิว ข้อดีข้อเสียของแต่ละร้านมาปรับใช้ในร้านของเรา